ผักสีเขียว เป็นผักที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง ในปัจจุบันมีการผลิตวิตามินขึ้นมากมาย แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเราเริ่มต้นดูแลสุขภาพด้วยการกิน โดยเริ่มต้นจากการเลือกรับประทานผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และป้องกันการเกิดโรคในอนาคต
ผักสีเขียว ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
ผักที่มีใบเป็นสีเขียว จะมีสารคลอโรฟิลล์ประกอบด้วย สารชนิดนี้จะช่วยในเรื่องการชะลอความแก่ของเซลล์ หรือที่คุ้นชินกันดีในการช่วยอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวพรรณดุผ่องใส ลดการเกิดโรคมะเร็ง รวมถึงเรื่องระบบขับถ่าย เนื่องจากผักใบเขียวมักจะมีใยอาหารสูง เช่น ตำลึง ผักบุ้ง และผักคะน้า เป็นต้น
สาเหตุที่คุณควรทาน ผักสีเขียว
การเลือกทานผักเป็นเรื่องของคนรักสุขภาพ และการเรียนรู้ที่จะรักสุขภาพก็เป็นเรื่องที่ดี หากคุณทานอาหารเพื่อให้อิ่ม วันนี้คุณอาจจะต้องเปลี่ยนความคิด และทัศนคติในการเลือกรับประทานอาหาร มาดูกันว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้คุณควรทานผักใบเขียว
1. ผักใบเขียวมีความเป็นด่าง
ร่างกายของมนุษย์มีความเป็นกรดและเป็นด่างของเลือดในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้เรามีร่างกายที่แข็งแรง ไม่เสี่ยงเป็นโรคต่างๆ การรับประทานอาหารที่มีค่าความเป็นกรดจะทำให้ร่างกายทำงานไม่สมดุล และอาจจะเกิดความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิตได้ ผักใบเขียวจะมีความเป็นด่าง เข้าไปสร้างความสมดุลของร่างกายเมื่อรับประทานเข้าไปในปริมาณที่เหมาะสม
2. ผักใบเขียวมีใยอาหารสูง
ผักใบเขียวมักจะมีใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดี และไม่เกิดอาการท้องผุ นอกเหนือจากการหาซื้อยาถ่าย แนวทางตามธรรมชาติที่ช่วยให้คุณ ไม่ต้องกินยาโดยไม่จำเป็น สามารถเริ่มต้นได้ เพียงแค่คุณหันมาทานผักที่มีใยอาหารสูง เช่น บรอกโคลี ผักโขม กะหล่ำดาว และอองไดฟ์ เป็นต้น
3. ผักใบเขียวให้พลัง
ผักใบเขียวมักจะมีวิตามินซีที่สร้างพลังงานได้สูง เพราะวิตามินซีสามารถสร้างคาร์นิทีนได้ หลายคนเลือกรับประทานวิตามินซีเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งบางคนอาจจะไม่รู้ว่าการทานวิตามินซีที่มากเกินไปจะทำให้เกิดผลเสียแก่ร่างกายได้ ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามินซี เช่น บรอกโคลี และผักคะน้า เป็นต้น
4. ผักใบเขียวกลุ่มที่มีวิตามินบี
การทานวิตามินบีเพื่อให้ร่างกายมีระบบหมุนเวียนเลือดและระบบประสาทที่ดีนั้น ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แท้ที่จริงแล้วก่อนที่จะเลือกทานยา ลองมาเลือกทานผักที่มีวิตามินบีกันก่อน โดยผักแต่ละชนิดจะให้วิตามินบีที่ต่างกัน ดังนี้
- สารโฟเลต พบได้ในผักคะน้า ผักโขม และบรอกโคลี ซึ่งช่วยในการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ และการแบ่งเซลล์ที่มีคุณภาพ
- สารไรโบเฟลวิน (วิตามินบี 2) พบได้ในบรอกโคลี หน่อไม้ฝรั่ง และใบแดนดิไลออน สารชนิดนี้จะช่วยให้ผิวพรรณดีและผลิตพลังงานให้ร่างกาย
- วิตามินบี 6 พบได้ในผักคะน้า บรอกโคลี และกะหล่ำปลี ซึ่งช่วยในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน
5. ผักใบเขียวดีต่อสายตา
การรับประทานผักใบเขียวจะทำให้คุณได้รับวิตามินที่ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยป้องกันเลนส์ตาที่กระทบกับรังสียูวี เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง และผักโขม เพราะผักเหล่านี้เป็นแหล่งรวมตัวของลูทีนที่ดี เพื่อป้องกันไม่ให้ตาของเราเสื่อม ควรเลือกทานผักที่ดูแลตาของเรา
ที่มา : Blackmores - ทำไมต้องกินผักใบเขียวกันนะ [1]
ผักสีเขียว ตามท้องตลาดที่ไม่ควรมองข้าม
ปัจจุบันมีการปลูกผักให้เลือกทานมากมาย ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามตลาดนัด แต่การเลือกทานผักของคนรักสุขภาพจะยากขึ้น เนื่องจากบ้านเราเริ่มติดการใช้สารเคมี จึงทำให้ผักที่เห็นตามตลาดเกือบ 100% เป็นผักที่โดนสารเคมีทั้งหมด เพราะบ้านเรามีทั้งโรคและแมลงที่เป็นศัตรูของพืช จึงยากต่อการควบคุม วิธีที่ง่ายที่สุดจึงเป็นการใช้สารเคมี
สารเคมีบางตัวอยู่ได้นาน และบางตัวอาจจะอยู่ได้ไม่นาน แต่เชื่อเถอะว่ายังคงหลงเหลือให้เราได้ทานไปด้วยแน่นอน สิ่งที่หลีกเลี่ยงการทานสารเคมีเข้าไปได้ คือ การปลูกผักทานเอง อาจจะยากหน่อยสำหรับการเริ่มต้นครั้งใหม่ แต่หากค่อยๆเรียนรู้และลองผิดลองถูกสักพัก ประสบการณ์จะสอนให้เราเข้าใจและพัฒนาตัวเอง
ผักสีเขียว ที่มีประโยชน์สูง
ผักใบเขียวแต่ละชนิดจะมีประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป หากคุณต้องการสารอาหารชนิดใดก็สามารถเลือกเองได้ ซึ่งเราสามารถรู้ได้ว่าร่างกายของตัวเอง ต้องการสารอาหารชนิดใด ได้ด้วยการตรวจร่างกาย วันนี้เราจะลองยกตัวอย่างผักที่มากด้วยประโยชน์
เริ่มต้นลองปลูก ผักคะน้า
ผักคะน้าเป็นผักที่มีสารอาหารและมีประโยชน์สูง แถมยังมีวิธีการปลูกที่ไม่ยาก เรียกได้ว่าผักชนิดนี้เป็นแหล่งอาหารที่แมลงหลายชนิดชอบมาก จึงทำให้มีการใช้สารเคมีในการปลูกผักค่อนข้างเยอะ แต่หากจะปลูกเอง ลองมาดูขั้นตอนต่อไปนี้กัน
- เตรียมดิน: ผักคะน้าเหมาะกับดินร่วนซุย เพราะมีการระบายน้ำดี สามารถทำให้ผักเติบโตได้ดี ควรเตรียมดินโดยการใส่ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยอินทรีย์เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน
- การเพาะเมล็ด: ควรเพาะเมล็ดคะน้า โดยเอาเมล็ดไปหว่านในพื้นที่ที่เตรียมไว้ หรือใช้ถาดเพาะเมล็ดเพื่อเพิ่มโอกาสให้เมล็ดงอกงาม
- การรดน้ำ: ผักคะน้าต้องการนำในปริมาณที่มาก เพราะฉะนั้น ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ให้ดินแห้งขาดน้ำ แต่ก็ไม่ควรให้น้ำท่วมเกินไป
- การดูแลรักษา: หมั่นตรวจสอบสภาพของต้นคะน้า เช่น การตรวจสอบการระบายน้ำ การกำจัดวัชพืช และการป้องกันกำจัดศัตรูพืช
- การเก็บเกี่ยว: เมื่อผักคะน้าเริ่มเจริญเติบโต และมีขนาดพอดีสำหรับการเก็บเกี่ยว สามารถเก็บเกี่ยวได้ โดยปกติผักคะน้าจะโตเต็มที่เมื่ออายุประมาณ 50 - 55 วัน
ที่มา : Sgethai - วิธี ปลูกคะน้า [2]
ผักคะน้า มีประโยชน์ไฉน
ผักคะน้าเป็นผักที่มีประโยชน์สูงมาก หากรับประทานผักที่ปลอดสารพิษด้วยแล้วยิ่งดี หลังจากที่เรียนรู้วิธีการปลูกผักไปแล้ว ต่อไปนี้เราไปดูกันดีกว่าว่าผักคะน้ามีประโยชน์ในด้านใดบ้าง
- สร้างกระบวนการย่อยอาหาร: ผักคะน้ามีใยอาหารที่สูง ช่วยเร่งกระบวนการย่อยอาหารในลำไส้ และช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: ผักคะน้ามีวิตามินและแร่ธาตุที่สามารถช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เช่น วิตามินซี และเหล็ก
- ลดความเสี่ยงต่อโรค: การทานผักคะน้าเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาสุขภาพที่ดี เพราะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และมะเร็งได้
- สารต้านอนุมูลอิสระ: ผักคะน้าเป็นแหล่งสำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคเรื้อรัง เป็นต้น
- ลดน้ำหนัก: ผักคะน้ามีประโยชน์ต่อการลดน้ำหนัก เนื่องจากมีพลังงานต่ำ และช่วยลดความอยากอาหาร
สรุป ผักสีเขียว
บทความนี้จะพูดถึง ผักสีเขียว ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับสาเหตุที่เราควรกินผัก ผักที่มีสารอาหารสูง และวิธีการปลูกผักใบเขียวที่นักรักสุขภาพควรนำไปใช้ ผู้อ่านสามารถนำเกร็ดความรู้จากบทความนี้ นำไปใช้ศึกษาได้เลย
อ้างอิง
[1] Blackmores. ทำไมต้องกินผักใบเขียวกันนะ. Retrieved from blackmores
[2] Sgethai. (2023 - 2024). วิธี ปลูกคะน้า. Retrieved from sgethai
